Knowledge

News & Updates

Archive for Knowledge

สูตรผงโปรตีนออร์แกนิก (Homemade Organic Protein Powder Recipe)

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบในปัจจุบัน ผงโปรตีนได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ควบคุมน้ำหนัก หรือเสริมสุขภาพ ผงโปรตีนถือเป็นตัวช่วยที่สะดวกและง่ายต่อการได้รับสารอาหารที่จำเป็น ช่วยสนับสนุนการสร้างกล้ามเนื้อ การฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกาย และแม้กระทั่งเป็นมื้ออาหารทดแทนสำหรับคนที่มีเวลาน้อย

สูตรนี้ช่วยให้คุณสามารถทำผงโปรตีนออร์แกนิกที่สะอาดและมีประโยชน์ได้เองที่บ้าน โดยไม่มีสารเติมแต่งหรือส่วนผสมสังเคราะห์ และยังสามารถนำไปใช้ในสมูทตี้ เชค หรือขนมอบได้ตามความชอบ มาลองทำกันเลย!

สูตรผงโปรตีนออร์แกนิก-Organic-Protein-Powder-Recipe

สูตรผงโปรตีนออร์แกนิกโฮมเมด

ปริมาณ: ~3 ถ้วย
เวลาเตรียม: 10 นาที

ส่วนผสมผงโปรตีนออร์แกนิก:

  1. แหล่งโปรตีนหลัก (ให้โปรตีน):
    • ข้าวโอ๊ตออร์แกนิก 1 ถ้วย (100 กรัม) (หรือแป้งข้าวโอ๊ตออร์แกนิก)
      สารอาหาร: คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน (4 กรัมต่อ 100 กรัม) ใยอาหาร เหล็ก แมกนีเซียม และวิตามินบี
      ประโยชน์: ให้พลังงานยาวนาน สนับสนุนสุขภาพหัวใจ และช่วยย่อยอาหาร
    • อัลมอนด์ออร์แกนิก 1 ถ้วย (100 กรัม) หรือแป้งอัลมอนด์ออร์แกนิก
      สารอาหาร: ไขมันดี โปรตีน (21 กรัมต่อ 100 กรัม) วิตามินอี แมกนีเซียม และแคลเซียม
      ประโยชน์: ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ สนับสนุนการทำงานของสมอง และเสริมสร้างกระดูก
    • ถั่วเลนทิลออร์แกนิก 1 ถ้วย (100 กรัม) ถั่วชิกพี หรือถั่วแยกเปลือก (อบเพื่อเพิ่มรสชาติ)
      สารอาหาร: โปรตีนสูง (24 กรัมต่อ 100 กรัม) ใยอาหาร เหล็ก โฟเลต และโพแทสเซียม
      ประโยชน์: สนับสนุนการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการย่อยอาหาร และเพิ่มพลังงาน
  2. ส่วนผสมปรุงรส (ตามความชอบ):
    • ผงโกโก้ออร์แกนิกไม่หวาน 2 ช้อนโต๊ะ
      สารอาหาร: สารต้านอนุมูลอิสระ (ฟลาโวนอยด์) เหล็ก และแมกนีเซียม
      ประโยชน์: ช่วยให้อารมณ์ดี เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และส่งเสริมสุขภาพสมอง
    • อบเชยออร์แกนิก 1 ช้อนชา
      สารอาหาร: สารต้านอนุมูลอิสระ แมงกานีส และแคลเซียม
      ประโยชน์: ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดการอักเสบ และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
    • ผงวานิลาออร์แกนิก 1 ช้อนชา หรือฝักวานิลาออร์แกนิก 1 ฝัก (ขูดเนื้อออก)
      สารอาหาร: สารต้านอนุมูลอิสระ
      ประโยชน์: เพิ่มกลิ่นหอมและช่วยให้ผ่อนคลาย
  3. สารให้ความหวาน (ตามความชอบ):
    • น้ำตาลมะพร้าวออร์แกนิก 2-3 ช้อนโต๊ะ สตีเวียออร์แกนิก หรือสารสกัดจากหล่อฮังก้วย
      สารอาหาร: แร่ธาตุ (น้ำตาลมะพร้าวมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม)
      ประโยชน์: ให้ความหวานตามธรรมชาติ โดยไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
  4. ตัวเสริมคุณค่า (เพิ่มโภชนาการ):
    • เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ หรือเมล็ดกัญชาออร์แกนิก 2 ช้อนโต๊ะ
      สารอาหาร: กรดไขมันโอเมก้า-3 โปรตีน (17 กรัมต่อ 100 กรัมสำหรับเมล็ดกัญชา) ใยอาหาร และแคลเซียม
      ประโยชน์: ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ลดการอักเสบ และช่วยในการย่อยอาหาร
    • ผงนมออร์แกนิก 2 ช้อนโต๊ะ หรือผงนมมะพร้าวออร์แกนิก
      สารอาหาร: แคลเซียม โปรตีน และไขมันดี
      ประโยชน์: เสริมสร้างกระดูกและเพิ่มความเนียนนุ่มในเนื้อสัมผัส
    • สาหร่ายเกลียวทองออร์แกนิก หรือผงมะรุมออร์แกนิก 1 ช้อนโต๊ะ
      สารอาหาร: โปรตีนสูง (57 กรัมต่อ 100 กรัมสำหรับสาหร่ายเกลียวทอง) วิตามินบี เหล็ก และสารต้านอนุมูลอิสระ
      ประโยชน์: ช่วยล้างพิษ เพิ่มพลังงาน และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน

วิธีทำผงโปรตีนออร์แกนิก:

  1. เตรียมส่วนผสม: คั่วถั่วอัลมอนด์และถั่วเลนทิลในกระทะแห้งด้วยไฟอ่อน เพื่อเพิ่มรสชาติ (เลือกทำตามความชอบ) แล้วปล่อยให้เย็นสนิท บดข้าวโอ๊ต ถั่ว และถั่วเลนทิลด้วยเครื่องปั่นหรือเครื่องบดความเร็วสูงจนเป็นผงละเอียด
  2. ผสม: ผสมส่วนผสมทั้งหมดในชามขนาดใหญ่ ใส่สารปรุงรส สารให้ความหวาน หรือส่วนเสริมโภชนาการตามที่ต้องการ
  3. ร่อน: ใช้กระชอนร่อนเพื่อกำจัดส่วนที่หยาบ หากมีเศษหยาบให้บดซ้ำ
  4. เก็บรักษา: เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทในที่แห้งและเย็น สามารถเก็บได้นานถึง 1 เดือน

ข้อมูลในบทความนี้จัดทำเพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่สามารถแทนคำแนะนำทางการแพทย์ได้ การใช้สูตรนี้เป็นความรับผิดชอบของคุณเอง หากคุณมีอาการแพ้หรือกังวลเกี่ยวกับส่วนผสมใด ๆ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนผสมนั้นเหมาะสมกับคุณหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้งาน

กระปุก HDPE สำหรับเก็บผงโปรตีน

เพื่อรักษาคุณภาพและความสดใหม่ของผงโปรตีนที่คุณทำเอง การเลือกภาชนะที่เหมาะสมสำหรับการจัดเก็บเป็นสิ่งสำคัญ ขวด HDPE (High-Density Polyethylene) เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเก็บรักษาผงโปรตีนของคุณด้วยเหตุผลดังนี้:

กระปุกบรรจุผง-1kg-2000cc

  1. ป้องกันความชื้นและอากาศ: ขวด HDPE มีคุณสมบัติป้องกันอากาศและความชื้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผงโปรตีนจับตัวเป็นก้อนหรือสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ
  2. ปลอดภัยต่อสุขภาพ: HDPE เป็นพลาสติกชนิดปลอดภัยที่ไม่มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อนในอาหาร
  3. น้ำหนักเบาและทนทาน: ขวด HDPE มีน้ำหนักเบาและทนทานต่อการแตกหัก ทำให้ง่ายต่อการจัดเก็บและพกพา
  4. ป้องกันแสง UV: สีทึบของขวด HDPE ช่วยป้องกันแสง UV ซึ่งอาจลดคุณภาพของสารอาหารในผงโปรตีน
  5. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: ขวด HDPE สามารถรีไซเคิลได้ จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เราให้บริการ กระปุก HDPE คุณภาพสูงหลากหลายขนาด ที่เหมาะสำหรับการจัดเก็บผงโปรตีนหรือสินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการความปลอดภัยและคุณภาพ ติดต่อเราเพื่อเลือกสินค้าที่เหมาะกับคุณที่สุด!

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ขวด PET แบบใส: ผลกระทบของแสงแดดและรังสี UV ต่อเครื่องสำอางและสารเคมี

เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลมีความไวต่อปัจจัยต่างๆ จากสภาพแวดล้อม เช่น แสง ความร้อน และอากาศ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เสื่อมสภาพและลดประสิทธิภาพ คือการสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งสามารถทำให้ส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพภายในผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ สารบางตัว เช่น วิตามิน (เช่น วิตามิน C) สารต้านอนุมูลอิสระ และสารสกัดจากพืชมีความไวเป็นพิเศษต่อการเสื่อมสภาพเมื่อได้รับแสง

ขวด-PET-แบบใส-ผลกระทบของแสงแดดและรังสี-UV

สารที่ไวต่อแสงแดดและรังสี UV

หลายส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีความไวสูงต่อแสงและรังสี UV ต่อไปนี้คือ 5 สารที่พบได้บ่อยที่สุดในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่อาจเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสง:

  1. วิตามิน C (Ascorbic Acid): วิตามิน C เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ช่วยลดเลือนริ้วรอยและปรับสีผิวให้กระจ่างใส อย่างไรก็ตาม วิตามิน C เสื่อมสภาพได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับแสงแดดและอากาศ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงและกลายเป็นสารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
  2. เรตินอล (Retinol): เรตินอลเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิว แต่เมื่อสัมผัสกับแสง UV จะทำให้มันเสื่อมสภาพและลดประสิทธิภาพลง ดังนั้นควรใช้ในเวลากลางคืนหรือบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ให้แสงเข้า
  3. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract): ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายจากแสง UV แต่สารสกัดจากชาเขียวจะเสื่อมสภาพเมื่อได้รับแสง UV และอาจสูญเสียคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและปกป้องผิว
  4. น้ำมันหอมระเหยจากส้ม (Citrus Essential Oils): น้ำมันหอมระเหยจากส้ม เช่น น้ำมันจากผลส้มโอและส้ม มีสารที่สามารถทำให้ผิวไวต่อแสงและทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือแผลไหม้จากแสงแดด นอกจากนี้ น้ำมันหอมระเหยเหล่านี้ยังเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสง
  5. ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide): ไนอาซินาไมด์มีคุณสมบัติในการปรับสีผิวและช่วยลดการระคายเคือง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสารที่ไวต่อแสง หากผลิตภัณฑ์ที่มีไนอาซินาไมด์ถูกเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ป้องกันแสง UV อย่างเหมาะสม อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

ทำไมขวด PET แบบใสถึงทำลายคุณภาพของเครื่องสำอาง

PET (Polyethylene Terephthalate) เป็นพลาสติกที่นิยมใช้ในการบรรจุเครื่องสำอางเนื่องจากความใสซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคเห็นผลิตภัณฑ์ภายในได้ แต่ความใสนี้กลับมีต้นทุน ขวด PET สามารถให้รังสี UV ซึมผ่านได้ง่าย ซึ่งหมายความว่าเมื่อผลิตภัณฑ์ภายในขวดสัมผัสกับแสงแดด รังสี UV สามารถแทรกซึมเข้าไปในวัสดุและทำให้ส่วนผสมที่ไวต่อแสงเสื่อมสภาพ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสี เนื้อสัมผัส และคุณภาพโดยรวมของผลิตภัณฑ์ ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและอาจเป็นอันตราย

ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารรีตินอลหรือวิตามิน C จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสง UV ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ลดลงและไม่สามารถปกป้องหรือฟื้นฟูผิวได้ตามที่คาดหวัง นอกจากนี้ น้ำมันธรรมชาติ กลิ่นหอม และส่วนผสมที่ไวต่อการเกิดออกซิเดชันก็สามารถเกิดการเสื่อมสภาพหรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

ทำไม HDPE และ PP ถึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการบรรจุเครื่องสำอาง

BPE158 ขวดพลาสติก 350cc (7)

เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์จึงหันมาใช้พลาสติกทางเลือกเช่น HDPE (High-Density Polyethylene) และ PP (Polypropylene) ซึ่งมีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับขวด PET ในการปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ภายใน

  1. การป้องกันรังสี UV: พลาสติก HDPE และ PP ให้การปกป้องที่ดีเยี่ยมจากรังสี UV ทั้งสองชนิดมีลักษณะทึบแสงหรือโปร่งแสง ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ การบล็อกรังสี UV จะช่วยปกป้องส่วนผสมที่ไวต่อแสงและรักษาความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ให้นานขึ้น
  2. ความทนทานและเสถียรภาพ: HDPE และ PP มีความทนทานและต้านทานการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีได้ดี ทำให้เป็นทางเลือกที่มั่นคงในการบรรจุเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหอมระเหย สารสกัดจากพืช หรือส่วนผสมธรรมชาติที่มีความไวต่อการเกิดออกซิเดชัน วัสดุเหล่านี้ช่วยรักษาคุณภาพและความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ตลอดอายุการใช้งาน
  3. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ทั้ง HDPE และ PP เป็นวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ ทำให้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้นเมื่อเทียบกับ PET ซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและแบรนด์ที่ต้องการลดการทิ้งขยะพลาสติก
  4. คุ้มค่ากว่า: การปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากการเสื่อมสภาพจะช่วยลดการคืนสินค้า ความไม่พึงพอใจของลูกค้า และสินค้าคงคลังที่เสียหายจากผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมสภาพ

เมื่อพูดถึงการบรรจุเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ขวด PET แบบใส แม้ว่าจะได้รับความนิยมจากความสวยงาม แต่กลับทำลายอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อแสงและรังสี UV ในทางกลับกัน การใช้ภาชนะพลาสติก HDPE และ PP มอบการปกป้องจากรังสี UV ได้ดีกว่า ความทนทาน และประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม สำหรับแบรนด์ที่ต้องการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและรักษาประสิทธิภาพ การลงทุนในบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกัน UV เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและจำเป็น

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรครีมให้ความชุ่มชื้นแบบออร์แกนิก (Organic Moisturizing Cream Recipe)

สูตรครีมนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากส่วนผสม 100% ธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ด้วยการคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น เชียบัตเตอร์ น้ำมันมะพร้าว และว่านหางจระเข้ ทำให้สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

ความโดดเด่นของสูตรนี้คือเหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวธรรมดา ผิวแห้ง หรือแม้แต่ผิวบอบบางแพ้ง่าย เนื่องจากไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตันรูขุมขนหรือระคายเคือง นอกจากนี้ ส่วนผสมอย่างเจลว่านหางจระเข้ยังช่วยปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวในระดับลึก โดยที่ผิวสามารถหายใจได้ตามธรรมชาติ

สูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก

อีกหนึ่งจุดเด่นของครีมสูตรนี้คือการปรับแต่งกลิ่นได้ตามชอบด้วยน้ำมันหอมระเหย เช่น ลาเวนเดอร์ กุหลาบ หรือคาโมมายล์ ช่วยเพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายและมอบประสบการณ์การดูแลผิวที่หรูหราและเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการบำรุงผิวที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากธรรมชาติ

การใช้ครีมสูตรนี้ช่วยให้ผิวของคุณเนียนนุ่ม สุขภาพดี และเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังตอบโจทย์การดูแลผิวในชีวิตประจำวันได้อย่างครบครัน เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่มอบผลลัพธ์ยอดเยี่ยมโดยปราศจากสารเคมีที่ไม่จำเป็น

การรวมส่วนผสมทั้งหมดนี้ในครีมให้ความชุ่มชื้นแบบออร์แกนิกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก พร้อมป้องกันปัญหาผิวและทำให้ผิวเนียนนุ่มและสุขภาพดีขึ้นทุกวัน!

ส่วนผสมสูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก:

  1. เชียบัตเตอร์ (120 มิลลิลิตร) เชียบัตเตอร์เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน A และ E ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยและลดความเสียหายจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวที่ต้องการการฟื้นฟู
  2. น้ำมันมะพร้าว (60 มิลลิลิตร) น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว มีกรดลอริก (Lauric Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ทำให้เหมาะสำหรับการดูแลผิวที่เป็นสิวหรือระคายเคืองง่าย
  3. น้ำมันอัลมอนด์หวาน (30 มิลลิลิตร) น้ำมันอัลมอนด์หวานมีวิตามิน E สูง ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวและลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวเนียนนุ่ม เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  4. ขี้ผึ้งธรรมชาติ (15 กรัม, ขูดฝอย) ขี้ผึ้งธรรมชาติช่วยสร้างเกราะป้องกันบนผิวหนังเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิว เหมาะสำหรับการบำรุงผิวที่แห้งเสีย ช่วยให้ผิวรู้สึกนุ่มและเรียบเนียน
  5. เจลว่านหางจระเข้ (30 มิลลิลิตร) ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และให้ความชุ่มชื้นอย่างล้ำลึก นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดรอยแดงจากแสงแดดหรือการระคายเคือง
  6. น้ำมันวิตามิน E (5 หยด, ไม่จำเป็น) วิตามิน E เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะและลดเลือนริ้วรอย อีกทั้งยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูสุขภาพดี
  7. น้ำมันหอมระเหย (5-10 หยด, ไม่จำเป็น) เพิ่มกลิ่นหอม เช่น ลาเวนเดอร์ กุหลาบ หรือคาโมมายล์ เพื่อความผ่อนคลายและบำรุงเพิ่มเติม

กระปุก-250กรัม

วิธีทำสูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก:

  1. ละลายส่วนผสมหลัก: ใช้หม้อต้มสองชั้นหรือชามทนความร้อน ละลายเชียบัตเตอร์ น้ำมันมะพร้าว และขี้ผึ้งบนไฟอ่อน คนเบา ๆ จนละลายหมด
  2. ปล่อยให้เย็น: ยกออกจากความร้อนและปล่อยให้ส่วนผสมเย็นลงเล็กน้อยจนเริ่มข้น
  3. ใส่ส่วนผสมที่เป็นของเหลว: ใส่เจลว่านหางจระเข้ น้ำมันอัลมอนด์หวาน น้ำมันวิตามิน E และน้ำมันหอมระเหย (ถ้ามี) แล้วคนให้เข้ากัน
  4. ตีให้เนื้อเนียน: ใช้เครื่องตีมือหรือตะกร้อมือตีส่วนผสมจนได้เนื้อครีมที่เนียนและฟู
  5. เก็บในภาชนะสะอาด: เทครีมลงในขวดแก้วหรือภาชนะที่สะอาดและมีฝาปิด เก็บในที่เย็นและแห้ง
วิธีใช้สูตรครีมบำรุงผิวออร์แกนิก:
  • ใช้ทาบนผิวที่สะอาดในปริมาณเล็กน้อย นวดเบา ๆ จนซึมเข้าสู่ผิว
  • ใช้ได้กับใบหน้า มือ หรือร่างกายเพื่อเพิ่มความนุ่มและชุ่มชื้น

สูตรจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ควรทดสอบการแพ้โดยทาเล็กน้อยที่บริเวณผิวหนังเพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือระคายเคืองหรือไม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสะอาด รวมถึงอุปกรณ์และภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เก็บโลชั่นในที่แห้งและเย็น และใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์ (หรือ 2-3 สัปดาห์หากแช่เย็น) เนื่องจากไม่มีสารกันเสีย หากเกิดการระคายเคืองให้หยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากคุณมีผิวแพ้ง่ายหรือมีปัญหาผิวหนังบางประการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย (Whitening Lotion Recipe with Thai Herbs)

โลชั่นไวท์เทนนิ่งจากมะกรูดและขมิ้น: สูตรสมุนไพรไทยออร์แกนิกสำหรับการดูแลผิว

โลชั่นไวท์เทนนิ่งสูตรนี้ผสมผสานประโยชน์ที่ทรงพลังของสมุนไพรไทยแบบดั้งเดิม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยให้ผิวกระจ่างใส โดยมีส่วนผสมของมะกรูดและขมิ้นที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยปรับผิวให้สว่างใส โลชั่นนี้ยังเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยน้ำมันมะพร้าวและว่านหางจระเข้ ทำให้เหมาะสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงผิวอย่างล้ำลึก

สูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย

ส่วนผสมสูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย:

  • น้ำมันมะพร้าว 1/2 ถ้วย (หรือน้ำมันชนิดอื่นตามที่คุณเลือก): น้ำมันมะพร้าวให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ทำให้ผิวนุ่มนวลและช่วยให้ส่วนผสมอื่น ๆ ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
  • ผิวมะกรูดหรือมะกรูดคั้นน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ: มะกรูดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลผิวแบบไทย ช่วยปรับสีผิวให้สว่างและมีกลิ่นหอมสดชื่น
  • ผงขมิ้น 1 ช้อนชา (ใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ): ขมิ้นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่ช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ลดจุดด่างดำและการอักเสบ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของการเปื้อนสีผิว
  • น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ 10 หยด (ไม่จำเป็น): น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมสดชื่น มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
  • เจลว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ: ว่านหางจระเข้ช่วยให้ความชุ่มชื้นและปลอบประโลมผิว

วิธีทำสูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย:

  1. ละลายน้ำมันมะพร้าว: หากน้ำมันมะพร้าวแข็งตัว ควรละลายให้เป็นของเหลวก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ
  2. ใส่มะกรูด: ใส่ผิวมะกรูดหรือมะกรูดคั้นน้ำลงในน้ำมันมะพร้าวที่ละลายแล้ว ผสมให้เข้ากันเพื่อให้น้ำมันซึมซับกลิ่นและคุณประโยชน์ของมะกรูด
  3. ผสมขมิ้น: เติมผงขมิ้นลงไปแล้วคนให้เข้ากัน ระวังการใช้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันการเปื้อนสีผิว
  4. ใส่น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ (ถ้ามี): เติมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและความผ่อนคลาย
  5. เติมเจลว่านหางจระเข้: ใส่เจลว่านหางจระเข้และผสมให้เนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
  6. เก็บและบรรจุ: เทโลชั่นลงในภาชนะที่สะอาดและปิดฝาให้แน่นเพื่อคงความสดใหม่

ขวดปั๊มโลชั่น-450ml

วิธีการใช้สูตรโลชั่นไวท์เทนนิ่ง สมุนไพรไทย:

  • เวลาใช้: ใช้โลชั่นนี้ทาผิววันละครั้ง โดยเฉพาะในตอนเย็น
  • วิธีใช้: ทาโลชั่นลงบนผิวที่สะอาดและแห้ง แล้วนวดเบา ๆ ให้ซึมเข้าสู่ผิว
  • คำเตือน: เนื่องจากขมิ้นอาจทำให้เปื้อนผิวหรือเสื้อผ้า ควรใช้ในปริมาณเล็กน้อยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผ้าสีอ่อน

ประโยชน์:

  • ปรับผิวกระจ่างใส: มะกรูดและขมิ้นช่วยลดจุดด่างดำและทำให้ผิวดูสว่างใสขึ้น
  • ให้ความชุ่มชื้นและปลอบประโลม: น้ำมันมะพร้าวและว่านหางจระเข้ช่วยให้ความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง
  • ผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอม: น้ำมันหอมระเหยตะไคร้ให้กลิ่นหอมที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการดูแลผิวในช่วงเย็น

สูตรโลชั่นนี้ช่วยให้ผิวของคุณนุ่มนวลและกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยส่วนผสมจากสมุนไพรไทยที่ทรงคุณค่า!

สูตรจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ควรทดสอบการแพ้โดยทาเล็กน้อยที่บริเวณผิวหนังเพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือระคายเคืองหรือไม่ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสะอาด รวมถึงอุปกรณ์และภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เก็บโลชั่นในที่แห้งและเย็น และใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์ (หรือ 2-3 สัปดาห์หากแช่เย็น) เนื่องจากไม่มีสารกันเสีย หากเกิดการระคายเคืองให้หยุดใช้ทันที และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากคุณมีผิวแพ้ง่ายหรือมีปัญหาผิวหนังบางประการ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์พลาสติก

บรรจุภัณฑ์พลาสติก: คุณสมบัติและการใช้งานที่หลากหลาย

ในปัจจุบันบรรจุภัณฑ์พลาสติกถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความหลากหลายของคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ พลาสติกแต่ละชนิดถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันเพื่อรองรับความต้องการเฉพาะทาง โดยพลาสติกสามารถจำแนกตามความหนาแน่นของโมเลกุลและคุณสมบัติพิเศษ เช่น พลาสติก PE (Polyethylene) ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ LLDPE, LDPE, MDPE และ HDPE โดยพลาสติกแต่ละประเภทสามารถพัฒนาและปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะด้าน ผ่านกระบวนการผลิตเฉพาะ เช่น การปรับแต่งโครงสร้างโมเลกุลหรือการผสมกับสารเคมีอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เช่น PP และ OPP

ขวดยา-และ-อาหารเสริม

(1) บรรจุภัณฑ์อาหารโพลิเอทิลีน (Polyethylene – PE)

กระปุก-PE-1000ml

พลาสติก PE ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเนื่องจากมีต้นทุนการผลิตต่ำและมีคุณสมบัติที่หลากหลาย กระบวนการผลิตเกิดจากการทำปฏิกิริยากับก๊าซเอทิลีนภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูง ทำให้ได้ PE ที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน ได้แก่:

  • LDPE (Low Density Polyethylene): พลาสติกความหนาแน่นต่ำ มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับฟิล์มหด ฟิล์มยืด ขวดน้ำ และฝาขวด มีคุณสมบัติทนต่อการฉีกขาดและป้องกันความชื้นได้ดี
  • MDPE (Medium Density Polyethylene): พลาสติกความหนาแน่นปานกลาง มีความทนทาน เหมาะสำหรับถุงที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
  • HDPE (High Density Polyethylene): พลาสติกความหนาแน่นสูง มีความแข็งแรง เหมาะสำหรับขวดและฟิล์มที่ต้องการการป้องกันจากการซึมผ่านของก๊าซ

(2) บรรจุภัณฑ์อาหารโพลิโพรพิลีน (Polypropylene – PP)

ขวดซอสฝาแหลม-PP-ทนความร้อน

PP เป็นพลาสติกที่นิยมใช้ในการผลิตถุงร้อน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ใสและสามารถทนความชื้นได้ดี จึงเหมาะสำหรับบรรจุอาหารที่ต้องการเก็บรักษาความร้อน เช่น ซองบรรจุอาหารร้อน ซองบรรจุขนม และอาหารแห้ง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติทนความร้อนสูง ทำให้สามารถผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) บรรจุภัณฑ์อาหารโพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene Terephthalate – PET)

PET ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มอัดลม เช่น ขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำดื่ม ด้วยความใสแวววาวและความแข็งแรงสูง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น ซองยืดได้สำหรับผลไม้แห้งและช็อกโกแลต ซึ่งต้องการความแข็งแรงและความสวยงามในการจัดเก็บ

ความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์พลาสติก

บรรจุภัณฑ์พลาสติกมีคุณสมบัติพิเศษที่เหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ถุงร้อนที่ใช้บรรจุอาหารไปจนถึงขวดเครื่องดื่มที่ต้องการความทนทานและปลอดภัยในการใช้งาน การเลือกใช้พลาสติกชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่ต้องการเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกชีวภาพคืออะไร What is Bioplastic?

พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) หมายถึงพลาสติกที่ผลิตจากแหล่งชีวมวล เช่น ไขมันพืช น้ำมันพืช แป้งข้าวโพด แป้งถั่ว หรือจุลินทรีย์ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากพลาสติกทั่วไปที่มาจากปิโตรเลียม พลาสติกชีวภาพเป็นวัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากกระบวนการผลิตและการย่อยสลายที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ พลาสติกชีวภาพบางชนิดถูกออกแบบให้สามารถย่อยสลายได้เมื่อสิ้นสุดการใช้งาน ซึ่งเรียกว่าพลาสติกไบโอดีกราเดเบิล (Biodegradable Plastic) การย่อยสลายของพลาสติกชีวภาพสามารถเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่มีออกซิเจนหรือไม่มีออกซิเจน ขึ้นอยู่กับวัสดุและกระบวนการผลิต

วัสดุที่ใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพส่วนใหญ่ ได้แก่ แป้ง เซลลูโลส และไบโอพอลิเมอร์ต่าง ๆ ซึ่งให้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรงในระดับที่แตกต่างกัน ตัวอย่างการใช้งานพลาสติกชีวภาพที่พบได้ทั่วไป ได้แก่ วัสดุบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ เครื่องปรุงอาหาร บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร และวัสดุกันความร้อน ซึ่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

ช้อนตักขนม ไบโอพลาสติก

การใช้งานพลาสติกชีวภาพ

พลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้มีบทบาทสำคัญในสิ่งของที่ใช้ครั้งเดียว เช่น วัสดุบรรจุภัณฑ์และอุปกรณ์ในงานบริการ เช่น จาน ชาม ช้อน แก้ว ถ้วย หรือหลอด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ในถุงบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหาร ถาด และภาชนะสำหรับผลไม้ ผัก ไข่ และเนื้อสัตว์ รวมถึงขวดเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ขวดนม หรือแผ่นพลาสติกที่ใช้สำหรับบรรจุผลไม้และผัก

พลาสติกชีวภาพมีบทบาทสำคัญในการลดปัญหาขยะพลาสติกและสร้างความยั่งยืนในสังคม ด้วยความสามารถในการย่อยสลายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในหลากหลายอุตสาหกรรมในปัจจุบัน.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์: แนวทางที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ

การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์เป็นแนวทางสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ การใช้ซ้ำ และการรีไซเคิลถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจลดการใช้ทรัพยากรและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การลดขนาดและน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์มีส่วนสำคัญในการลดต้นทุนด้านวัสดุ พลังงาน และค่าขนส่ง ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย การออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมและพอดีกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องบรรจุจะเพิ่มประสิทธิภาพและลดความสูญเปล่าในทุกขั้นตอนของการจัดจำหน่าย

กระปุกครีม-250กรัม

แนวทางลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

เป้าหมายหลักของการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์คือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดการสูญเสีย และส่งเสริมการใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดขนาดและปริมาณของบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นช่วยให้เราประหยัดต้นทุนด้านวัสดุ พลังงาน และการขนส่ง โดยบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมจะลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการจัดการโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์

  1. ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา: การเลือกใช้วัสดุที่เบาแต่ยังคงคุณสมบัติในการปกป้องผลิตภัณฑ์จะช่วยลดต้นทุนด้านวัสดุ พลังงาน และการขนส่ง
  2. พัฒนาการออกแบบโครงสร้างและวัสดุให้เหมาะสม: การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์จะช่วยเพิ่มความทนทานและลดการสูญเสียในระหว่างการขนส่ง
  3. พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้มข้นมากขึ้น: สำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภท การเพิ่มความเข้มข้นจะช่วยลดขนาดบรรจุภัณฑ์ ลดปริมาณการใช้งาน และลดค่าใช้จ่ายได้
  4. กำจัดบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น: ลดการใช้วัสดุที่ไม่มีประโยชน์ เช่น การลดการใช้บรรจุภัณฑ์ชั้นในหรือการตัดลดส่วนที่ไม่จำเป็น เพื่อประหยัดต้นทุนและลดขยะ
  5. ซื้อในจำนวนมากและนำไปใช้ในหลายสายผลิตภัณฑ์: การซื้อวัสดุในปริมาณมากจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วย และสามารถนำไปใช้งานในหลายสายผลิตภัณฑ์ได้อย่างคุ้มค่า

การลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจลดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคจึงเป็นกลยุทธ์ที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจปัจจุบัน.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Cap and Neck Closure (สเปกรูปแบบขนาดฝาเกลียวขวด)

การออกแบบและกำหนดสเปกของขนาดฝาและคอขวดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้งานกับโลชั่น แชมพู และของเหลวต่าง ๆ ที่ต้องการการปิดสนิทเพื่อป้องกันการรั่วซึมและคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ขนาดของฝาและคอขวดที่พบมาก ได้แก่ 28/400, 28/410 และ 28/415 โดยการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและความต้องการของผลิตภัณฑ์

สเปกแบบขนาดฝาเกลียวขวด

การอธิบายส่วนประกอบของรหัสขนาด

  • ตัวเลขแรก (28): หมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลางของฝาหรือคอขวดในหน่วยมิลลิเมตร ในตัวอย่างนี้ “28″ หมายถึงเส้นผ่านศูนย์กลาง 28 มม.
  • ตัวเลขที่สอง (400, 410, 415): หมายถึงรูปแบบของเกลียวหรือความสูงของคอขวด ซึ่งมีหน่วยเป็นเศษส่วนร้อยของนิ้ว ตัวเลขเหล่านี้ส่งผลต่อความลึกและการออกแบบของฝา เพื่อให้สามารถเข้ากับระบบปิดได้อย่างเหมาะสม

การเปรียบเทียบขนาดคอขวดที่แตกต่างกัน

28/400

  • ความสูงของเกลียว: ซีรีส์ 400 มีความสูงของคอสั้นที่สุดในสามแบบ และมีเกลียวเพียงหนึ่งรอบ
  • การใช้งาน: เหมาะกับฝาปิดแบบธรรมดา เช่น ฝาเกลียวที่ไม่ต้องการคอขวดสูงมาก เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการปิดสนิทโดยไม่ต้องมีความลึกของเกลียวมาก

28/410

  • ความสูงของเกลียว: สูงกว่าซีรีส์ 400 เล็กน้อย ทำให้สามารถยึดเกลียวได้แน่นขึ้น
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับฝาปิดที่ใช้จ่าย เช่น หัวสเปรย์ หรือฝาดิสค์ที่ต้องการการปิดที่แน่นขึ้น โดยมักใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความสะดวกในการจ่ายของเหลว เช่น โลชั่นหรือหัวฉีดน้ำ

28/415

  • ความสูงของเกลียว: มีความสูงของคอขวดมากที่สุดในสามแบบและมีเกลียวมากขึ้น
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับระบบจ่ายของเหลวขนาดใหญ่ เช่น หัวสเปรย์แบบฉีด (trigger sprayers) ที่ต้องการความมั่นคงและความแน่นหนาในการปิดเพื่อลดโอกาสการรั่วซึม

ข้อแตกต่างหลักของขนาดฝาเกลียวขวด

ความแตกต่างของขนาดเหล่านี้คือความสูงของคอขวดและความลึกของเกลียว ซึ่งส่งผลต่อการยึดเกลียวและการปิดฝาให้สนิท การเลือกขนาดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์ ความต้องการในการปิดฝาอย่างแน่นหนา และการใช้งานในระบบจ่ายของเหลว

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกคืออะไร

พลาสติกได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันของเรามาเป็นเวลาหลายทศวรรษ ตั้งแต่การใช้ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เช่น เข็มขัดนิรภัย หรือหน้าต่างในร้านอาหารไดรฟ์ทรู ไปจนถึงการปรากฏในวัฒนธรรมป๊อปต่างๆ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังคงสับสนเกี่ยวกับคำจำกัดความของพลาสติกที่แท้จริง พลาสติกถูกพัฒนาขึ้นมาเล็กน้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ และเริ่มมีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมันกลายเป็นวัสดุทดแทนที่มีคุณค่าเมื่อวัสดุดั้งเดิมขาดแคลน จากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 พลาสติกได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก

ขวดใส่แอลกอฮอล์

พื้นฐานของพลาสติก

พลาสติกถูกสร้างขึ้นจากโครงสร้างของโมเลกุลที่เรียกว่า “โพลิเมอร์” ซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อของโมโนเมอร์ซ้ำๆ กันเป็นสายโซ่ยาว โดยชื่อของพลาสติกหลายชนิดมักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า “โพลี” เช่น โพลิเอทิลีน โพลิสไตรีน และโพลิโพรพิลีน เพราะมันประกอบด้วยโพลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น โพลิเอทิลีนประกอบด้วยโมโนเมอร์ของเอทิลีนที่ต่อกันเป็นสายเหมือนลูกปัดในสร้อยคอ โพลิเมอร์เหล่านี้อาจประกอบด้วยธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน หรืออาจมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ คลอรีน ฟลูออรีน ฟอสฟอรัส หรือซิลิกอน ทั้งนี้ทำให้พลาสติกมีความหลากหลายในโครงสร้างและการใช้งาน

กระบวนการผลิตพลาสติก

พลาสติกเริ่มต้นกระบวนการผลิตที่โรงกลั่นหรือโรงงานเคมี ซึ่งวัตถุดิบจะถูกเปลี่ยนเป็นโพลิเมอร์ โดยโพลิเมอร์ส่วนใหญ่จะถูกทำให้เป็นเม็ดเล็ก ๆ เพื่อความสะดวกในการขนส่งไปยังผู้ผลิตสินค้าและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกหลากหลายประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ อุตสาหกรรมพลาสติกเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลก โดยมีการสร้างรายได้มหาศาลและการจ้างงานในหลายประเทศทั่วโลก บริษัทผู้ผลิตพลาสติกจำนวนมากยังปฏิบัติตามมาตรการที่เข้มงวดในการจัดการและการผลิตอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

พลาสติกชีวภาพ: ทางเลือกใหม่ของวัสดุที่ยั่งยืน

พลาสติกชีวภาพกำลังกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในยุคที่มีความกังวลเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน พลาสติกชีวภาพผลิตจากวัตถุดิบที่มาจากพืช เช่น ข้าวโพดและอ้อย พลาสติกยุคแรก ๆ อย่างเซลโลเฟน ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของพลาสติกชีวภาพที่ถูกพัฒนาขึ้น อย่างไรก็ตาม พลาสติกจากปิโตรเลียมที่มีประสิทธิภาพมากกว่ากลับมาแทนที่ในยุคต่อมา

ถึงแม้ว่าพลาสติกชีวภาพจะให้ความหวังในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณสมบัติการย่อยสลายทางชีวภาพอยู่มาก พลาสติกชีวภาพบางชนิด เช่น PET ที่ทำจากพืช มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับพลาสติกจากปิโตรเลียม ซึ่งสามารถรีไซเคิลได้ แต่ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ขณะที่พลาสติกชนิด PLA สามารถย่อยสลายในโรงงานทำปุ๋ยหมักเชิงพาณิชย์ได้ แต่ยังมีข้อจำกัดในการรีไซเคิลในหลายพื้นที่

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลาสติกและพลาสติกชีวภาพ รวมถึงกระบวนการผลิตและความยั่งยืนของวัสดุเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญในยุคที่นวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมพลาสติกยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เราใช้งานพลาสติกอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ประเภทของบรรจุภัณฑ์

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวิธีการบรรจุและขนถ่าย

บรรจุภัณฑ์สามารถจัดแบ่งได้หลากหลายรูปแบบตามวิธีการบรรจุและขนถ่ายสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานในแต่ละลักษณะ ดังนี้:

  1. บรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วย (Individual Package)
    เป็นบรรจุภัณฑ์ที่สัมผัสโดยตรงกับผลิตภัณฑ์ เช่น ขวดน้ำ กล่องใส่ครีม หรือบรรจุภัณฑ์สินค้าชิ้นเดียว โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการเพิ่มมูลค่าทางการค้า อำนวยความสะดวกต่อการใช้งาน และป้องกันผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนและความเสียหาย ถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นผลิตภัณฑ์
  2. บรรจุภัณฑ์ชั้นใน (Inner Package)
    บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้ใช้เพื่อรวบรวมบรรจุภัณฑ์เฉพาะหน่วยให้เป็นชุดเดียวกัน เช่น การบรรจุเครื่องดื่ม 12 ขวดในกล่องกระดาษ โดยมีหน้าที่หลักในการป้องกันสินค้าแต่ละหน่วยจากความชื้น แสงแดด และแรงกระแทกในระหว่างการขนส่ง เป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บและขนย้ายสินค้าในปริมาณมากขึ้น
  3. บรรจุภัณฑ์ชั้นนอกสุด (Outer Package)
    เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าในปริมาณมาก เช่น ลังไม้ หรือกล่องกระดาษลูกฟูกขนาดใหญ่ มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องสินค้าในระหว่างการขนส่งจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระแทกหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

  1. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขายปลีก (Consumer Package)
    เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อเพื่อนำไปใช้งาน อาจเป็นบรรจุภัณฑ์ชั้นแรกหรือชั้นที่สองที่มีการออกแบบเพื่อความสะดวกในการจับจ่าย เช่น กล่องบรรจุสินค้า เครื่องดื่ม หรือบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
  2. บรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่ง (Transportation Package)
    ใช้ในการรวบรวมบรรจุภัณฑ์ขายปลีกเข้าด้วยกันในหน่วยใหญ่ เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการขนส่ง เช่น กล่องกระดาษลูกฟูกที่บรรจุสินค้าเป็นชุด ช่วยให้สามารถจัดการขนส่งได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามความคงรูป

  1. บรรจุภัณฑ์รูปทรงแข็งตัว (Rigid Forms)
    ทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรง เช่น แก้ว เซรามิก ขวดพลาสติก และโลหะ บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มีความทนทานสูง สามารถป้องกันผลิตภัณฑ์จากสภาพแวดล้อมภายนอกได้อย่างดี เช่น แรงกระแทกและการรั่วซึม
  2. บรรจุภัณฑ์รูปทรงกึ่งแข็งตัว (Semirigid Forms)
    ทำจากวัสดุเช่น พลาสติกอ่อน กระดาษแข็ง หรืออลูมิเนียมบาง มีความคงทนในระดับปานกลางและมักมีราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารและสินค้าที่ต้องการความยืดหยุ่นบางส่วน
  3. บรรจุภัณฑ์รูปทรงยืดหยุ่น (Flexible Forms)
    ทำจากวัสดุที่อ่อนตัว เช่น แผ่นพลาสติกหรือฟิล์ม ได้รับความนิยมสูงเนื่องจากมีน้ำหนักเบา ราคาถูก และสามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถุงฟิล์มห่ออาหาร หรือถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุของแห้ง

การแบ่งประเภทบรรจุภัณฑ์ตามวัสดุที่ใช้

บรรจุภัณฑ์สามารถจัดประเภทได้ตามวัสดุที่ใช้ เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ หรือกระดาษ ซึ่งแต่ละวัสดุมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดยการเลือกวัสดุขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ผลิตและความต้องการตลาด เช่น การป้องกันผลิตภัณฑ์ การจัดเก็บ การขนส่ง และการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของสินค้า

การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมและการออกแบบที่ดีจะช่วยให้สินค้าของคุณตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการปกป้องสินค้า การใช้งาน และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในตลาด.

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

รายการตรวจสอบสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

เคล็ดลับสำคัญในการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของสินค้าและผู้บริโภค

การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้าในตลาด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักออกแบบมืออาชีพหรือผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้กับสินค้า การเข้าใจคุณสมบัติที่พึงประสงค์และรายการตรวจสอบสำคัญช่วยให้มั่นใจได้ว่าบรรจุภัณฑ์จะตอบโจทย์ความต้องการของทั้งสินค้าและผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์ เราขอแนะนำ “5 C Checklist” สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ดี ดังนี้:

ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

  1. Contain and Protect – การบรรจุและปกป้อง
    บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถปกป้องสินค้าจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง การจัดเก็บ และการใช้งานได้ดี เพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้คงอยู่ถึงมือผู้บริโภคอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการออกแบบที่เหมาะสมกับโลจิสติกส์ เช่น ขนาดที่พอดี น้ำหนักที่เหมาะสม และการจัดเก็บที่สะดวก
  2. Communication – การสื่อสาร
    บรรจุภัณฑ์ควรทำหน้าที่เป็นสื่อที่สื่อสารข้อมูลที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ เช่น ข้อมูลทางกฎหมาย (ส่วนผสม สารประกอบ) และข้อมูลทางการตลาดที่ช่วยสร้างความดึงดูดใจ เช่น จุดเด่นของสินค้า การสื่อสารบนบรรจุภัณฑ์ต้องชัดเจน น่าสนใจ และดึงดูดสายตาผู้บริโภค
  3. Convenience – ความสะดวกสบาย
    ความสะดวกสบายในการใช้งานบรรจุภัณฑ์มีผลต่อประสบการณ์ของผู้บริโภค บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบให้ใช้งานง่าย เช่น ขวดที่ถือสะดวก เทง่าย หรือกล่องที่พกพาสะดวก จะช่วยสร้างความพึงพอใจและกระตุ้นการซื้อซ้ำ
  4. Consumer Appeal – แรงดึงดูดใจของผู้บริโภค
    บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภคสามารถทำหน้าที่เป็น “นักขายเงียบ” ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย การออกแบบโครงสร้าง สี และข้อความบนบรรจุภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์จะช่วยสร้างความจดจำและกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคให้เลือกซื้อสินค้า
  5. Conserve Environment – การรักษาสิ่งแวดล้อม
    ในปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจมากขึ้น การเลือกใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ หรือใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มคุณค่าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน

ตรวจสอบให้ครบถ้วนด้วย “5 C Checklist” นี้ จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการทั้งในด้านการใช้งาน การสร้างภาพลักษณ์ และความยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

10 กลยุทธ์สำหรับการบรรจุภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ

ขวดโลชั่นชุดเดินทาง

10 กลยุทธ์เพื่อความสำเร็จในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น

  1. ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่น (Make your product stand out)
    บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรดึงดูดความสนใจทันทีที่ผู้บริโภคเห็นบนชั้นวาง การเลือกใช้สี การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และกราฟิกที่สะดุดตาจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง
  2. แตกต่างจากเดิม (Break with convention)
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ซ้ำใครทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่จดจำ ไม่ต้องกลัวที่จะฉีกแนวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เช่น รูปทรงแปลกใหม่ หรือการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  3. บรรจุภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน (Products with purpose)
    บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรสะท้อนคุณค่าและเป้าหมายของสินค้า เช่น การใช้วัสดุที่ยั่งยืน หรือบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า
  4. เพิ่มบุคลิกภาพให้กับบรรจุภัณฑ์ (Add personality)
    บรรจุภัณฑ์สามารถสะท้อนตัวตนและบุคลิกของแบรนด์ได้ การใช้ข้อความสนุกสนานหรือกราฟิกที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มความน่าจดจำและสร้างการเชื่อมโยงระหว่างลูกค้ากับแบรนด์
  5. สร้างความรู้สึกที่ดีให้ผู้บริโภค (Feel-good factor)
    บรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบให้ใช้งานง่ายและสะดวก เช่น เปิดง่ายหรือพกพาสะดวก จะทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ดีและมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ
  6. ดีไซน์เรียบง่ายและเข้าใจง่าย (Keep it simple)
    บรรจุภัณฑ์ที่มีดีไซน์เรียบง่ายและชัดเจนช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจข้อมูลสำคัญ เช่น ประโยชน์หรือวิธีใช้ของผลิตภัณฑ์ และช่วยให้การตัดสินใจซื้อรวดเร็วขึ้น
  7. การใช้ตราสินค้าแบบลำดับชั้น (Tiered branding)
    การแบ่งลำดับชั้นของตราสินค้าช่วยให้ผู้บริโภคแยกหมวดหมู่ของผลิตภัณฑ์ได้ง่าย เช่น ใช้สีหรือการออกแบบที่แตกต่างกันสำหรับสินค้าระดับพรีเมียมและมาตรฐาน เพื่อสร้างความชัดเจนและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
  8. คำนึงถึงต้นทุนในการขนส่ง (The cost of transport)
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เบาและทนทานช่วยลดต้นทุนการขนส่ง บรรจุภัณฑ์ที่จัดเรียงได้ง่ายและใช้พื้นที่น้อยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้า
  9. ความสะดวกในการจัดเรียง (Speed to shelf)
    การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่จัดเรียงง่ายบนชั้นวางสินค้าช่วยเพิ่มความเร็วในการวางขาย ทำให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
  10. ปกป้องผลิตภัณฑ์และป้องกันการปลอมแปลง (Protect yourself)
    บรรจุภัณฑ์ที่ดีต้องปกป้องผลิตภัณฑ์จากความเสียหายและการปลอมแปลง การใช้ซีลป้องกันหรือระบบป้องกันการเปิดช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

 

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การทดสอบบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพื่อความปลอดภัยในอุตสาหกรรมอาหาร

กระปุกโปรตีน-และ-อาหารเสริม

บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร มีบทบาทสำคัญในการปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ รักษาความสด และป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม การทดสอบบรรจุภัณฑ์พลาสติกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค

การทดสอบที่สำคัญของบรรจุภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมอาหาร

  1. การทดสอบการซึมผ่านของสารเคมี:
    • บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารต้องผ่านการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายซึมผ่านจากพลาสติกเข้าสู่อาหาร
    • ใช้การทดสอบจำลอง (Migration Testing) เพื่อประเมินการปล่อยของสารที่อาจเป็นอันตราย เช่น สารปนเปื้อนจากสีหรือสารเติมแต่งที่ใช้ในการผลิตพลาสติก
  2. การทดสอบความแข็งแรงและความทนทาน:
    • บรรจุภัณฑ์พลาสติกต้องผ่านการทดสอบความแข็งแรงเพื่อให้มั่นใจว่าไม่แตกหรือเสียหายง่ายเมื่อถูกบีบอัด หรือเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
    • การทดสอบความทนต่อแรงกระแทกช่วยป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่งและการเก็บรักษา
  3. การทดสอบการป้องกันการซึมผ่านของความชื้นและอากาศ:
    • บรรจุภัณฑ์ต้องสามารถป้องกันการซึมผ่านของความชื้น อากาศ และก๊าซต่าง ๆ ได้ เพื่อรักษาความสดใหม่ของอาหารและป้องกันการเกิดเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
    • ใช้การทดสอบค่าการซึมผ่านของไอน้ำ (Water Vapor Transmission Rate) และการซึมผ่านของออกซิเจน (Oxygen Transmission Rate)
  4. การทดสอบความทนทานต่ออุณหภูมิ:
    • บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารต้องทนต่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำได้ เช่น การอุ่นอาหารในไมโครเวฟ หรือการเก็บในช่องแช่แข็งโดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหรือเคมีที่อาจเป็นอันตราย
  5. การทดสอบสารปนเปื้อน (Heavy Metal Testing):
    • ตรวจสอบการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว หรือแคดเมียม ที่อาจมาจากกระบวนการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์ปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยอาหาร
  6. การทดสอบความปลอดภัยทางจุลชีววิทยา:
    • การตรวจสอบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในบรรจุภัณฑ์ เช่น แบคทีเรียหรือรา เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของอาหารและส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

พลาสติกจากข้าวโพด

พลาสติก: วัสดุสารพัดประโยชน์กับความท้าทายทางสิ่งแวดล้อม

พลาสติกเป็นวัสดุที่คุ้นเคยและพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน พลาสติกถูกใช้ในหลากหลายกิจกรรมเนื่องจากคุณสมบัติที่ทนทานและความหลากหลายของการใช้งาน พลาสติกประกอบขึ้นจากสารโพลิเมอร์ (polymer) ซึ่งเกิดจากการเรียงต่อกันของมอนอเมอร์ (monomer) เช่น สไตรีน (styrene) ที่นำไปผลิตเป็นพอลิสไตรีน (polystyrene) ใช้ทำโฟมหรือแก้วกาแฟ, เอทิลีนและโพรพิลีน (ethylene, propylene) สำหรับถุงพลาสติก, ไวนิลคลอไรด์ (vinyl chloride) สำหรับท่อประปา และเอทิลีนเทเรฟทาเลต (ethylene terephthalate) สำหรับขวด PET แม้พลาสติกจะมีประโยชน์หลากหลาย แต่ก็สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากพลาสติกส่วนใหญ่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ หรือใช้เวลานานในการย่อยสลาย

ไบโอพลาสติก-Biodegradable-Plastic (1)

วัสดุพลาสติกจากแหล่งธรรมชาติ: โอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน

เนื่องจากพลาสติกดั้งเดิมทำมาจากปิโตรเลียมซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาวัสดุทดแทนพลาสติกจากแหล่งธรรมชาติ จึงกลายเป็นแนวทางสำคัญในการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หนึ่งในวัสดุทางเลือกที่มีศักยภาพคือ พอลิแล็คติก แอสิด (Polylactic Acid – PLA) ซึ่งผลิตจากวัตถุดิบเกษตร เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และอ้อย PLA เป็นพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ทางธรรมชาติและมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับพลาสติกทั่วไป ทำให้ PLA เป็นที่นิยมในการใช้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

พอลิแล็คติก แอสิด (PLA): พลาสติกจากข้าวโพดเพื่อสิ่งแวดล้อม

พอลิแล็คติก แอสิด หรือ PLA เป็นพลาสติกชีวภาพที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1932 โดยนักวิจัย W.H. Carothers จากบริษัท Dupont PLA ผลิตขึ้นจากแป้งและน้ำตาลในข้าวโพด ผ่านกระบวนการหมักและการสังเคราะห์เพื่อให้ได้พอลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติทนทาน และย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่ผลิต PLA ในเชิงพาณิชย์ เช่น Cargill Dow ในสหรัฐอเมริกา และ Mitsui Chemical ในญี่ปุ่น PLA ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและสามารถลดการพึ่งพาพลาสติกจากปิโตรเลียม

แม้ว่าพลาสติก PLA และพลาสติกชีวภาพอื่น ๆ จะยังคงมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้นทุนการผลิตและความคงทนเทียบเท่าพลาสติกดั้งเดิม แต่ก็เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว การพัฒนาและการใช้วัสดุเหล่านี้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ถือเป็นโอกาสที่น่าจับตามองในอนาคต

Credit: vcharkarn.com/varticle/277

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สูตรและวิธีการทำแชมพูสระผมสมุนไพร

แชมพูสมุนไพร: วิธีทำและส่วนผสมจากธรรมชาติสำหรับการดูแลเส้นผม

หากคุณประสบปัญหาเส้นผมบาง รากผมไม่แข็งแรง ผมร่วงง่าย เป็นรังแค หรือคันศีรษะ แชมพูสมุนไพรอาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา แทนที่จะใช้แชมพูเคมีทั่วไปที่อาจมีส่วนผสมที่ไม่เหมาะสมกับเส้นผม ลองมาสร้างสรรค์แชมพูสมุนไพรที่ทำจากส่วนผสมธรรมชาติ ปลอดภัย และสามารถปรับสูตรให้ตรงกับสภาพเส้นผมของคุณเองได้

สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อเส้นผมและหนังศีรษะ

  • มะกรูด: น้ำจากมะกรูดช่วยสลายไขมันและสิ่งสกปรกบนหนังศีรษะ ทำให้ผมสะอาด มีความเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยป้องกันการสะสมของเชื้อโรค
  • มะคำดีควาย: ลดรังแคและรักษาอาการเชื้อราบนหนังศีรษะ มีคุณสมบัติช่วยให้เส้นผมแข็งแรง
  • ดอกอัญชัน: กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้รากผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง และเพิ่มการงอกของเส้นผม
  • ตะไคร้: ลดปัญหาผมแตกปลาย บรรเทาอาการคันและลดรังแค
  • ว่านหางจระเข้: เพิ่มความนุ่ม ชุ่มชื้นให้เส้นผม ช่วยให้ผมหวีง่ายและลดการระคายเคือง
  • ฟ้าทลายโจร: ลดการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดอาการคันศีรษะและผมร่วง

MP77CM ขวดปั๊มครีมสีเขียวใสพร้อมโลโก้นูนบนขวด และ ปั๊มสีเขียวสลับดำ (1)

วิธีทำแชมพูสมุนไพร ส่วนผสมที่จำเป็น:

  • แชมพูออย (EMAL 28CT): 500 กรัม
  • ผงฟอง: 50 กรัม (ช่วยให้ฟองมาก)
  • ผงข้น: 125–150 กรัม (ช่วยให้น้ำยาสระผมข้น)
  • ลาโนลิน: 50 กรัม (ช่วยให้เส้นผมลื่นและนุ่ม)
  • น้ำสมุนไพร (น้ำใบหมี่สดหรือน้ำสมุนไพรที่ต้องการ): 1.5 กก.
  • น้ำจุลินทรีย์ผลไม้เปรี้ยว: 500 กรัม (เช่น มะกรูด มะเฟือง มะนาว)
  • เกลือ: 500 กรัม (เพิ่มความหนืด)
  • น้ำหอมกลิ่นตามชอบ: เล็กน้อย

ขั้นตอนการทำ:

  1. เตรียมน้ำใบหมี่สดเล็กน้อยตั้งไฟร้อน เติมลาโนลินลงไปจนละลาย จากนั้นผสมเกลือและน้ำจุลินทรีย์เปรี้ยว คนให้เข้ากันแล้วพักไว้
  2. ในภาชนะใบใหญ่ ใส่น้ำใบหมี่สดที่เหลือ ใส่ผงฟองและคนให้ละลาย จากนั้นใส่แชมพูออยและคนให้เข้ากัน
  3. ค่อยๆ ใส่ผงข้นทีละน้อยจนส่วนผสมข้นตามต้องการ ใส่ส่วนผสมจากขั้นตอนแรกและคนให้เข้ากัน
  4. เติมน้ำหอมเล็กน้อย แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ฟองยุบตัว จึงบรรจุลงในขวดพร้อมใช้งาน

ขวดสบู่แชมพูสีเขียว 200ml 

ข้อควรรู้ในการใช้สมุนไพรแต่ละชนิด

  • น้ำดอกอัญชัน: ช่วยลดผมร่วงและเพิ่มการงอกของเส้นผม สีม่วงของดอกอัญชันสามารถทำให้แชมพูดูสวยงาม แต่จะค่อยๆ สลายไปเมื่อใช้
  • น้ำมะคำดีควาย: ช่วยลดรังแคและรักษาเชื้อรา ใช้โดยแช่และต้มผลมะคำดีควายแห้ง แล้วกรองน้ำมาใช้
  • ว่านหางจระเข้: บำรุงผมให้ชุ่มชื้นและนุ่มลื่น โดยใช้วุ้นใสจากใบหลังจากล้างยางออกจนหมด

การใช้แชมพูสมุนไพรไม่เพียงช่วยลดการใช้สารเคมี แต่ยังช่วยให้เส้นผมและหนังศีรษะมีสุขภาพดีขึ้น คุณสามารถลองปรับสูตรตามความต้องการของเส้นผมและเพิ่มส่วนผสมธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัว เพื่อสร้างสรรค์แชมพูที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง

Credit: YesSpaThailand.com

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก

Credit: Traininteractive (www.youtube.com/watch?v=wtbNRyzogpE)

การขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติก: กระบวนการและเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต

กระบวนการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นขั้นตอนสำคัญในอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งช่วยให้สามารถผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท การขึ้นรูปพลาสติกมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของผลิตภัณฑ์และคุณสมบัติที่ต้องการ โดยต่อไปนี้คือวิธีการขึ้นรูปพลาสติกที่สำคัญและเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการ:

การขึ้นรูปด้วยเครื่องฉีดพลาสติก (Injection Molding)

การฉีดพลาสติกเข้าแม่พิมพ์ เป็นกระบวนการที่แพร่หลายในการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรม ใช้พลาสติกหลอมเหลวฉีดเข้าสู่แม่พิมพ์ด้วยแรงดันสูง เพื่อสร้างชิ้นงานที่มีความละเอียด ซับซ้อน และตรงตามแบบที่ต้องการ วิธีนี้เหมาะสำหรับการผลิตชิ้นส่วนที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ของเล่น ขวดบรรจุภัณฑ์ และชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมต่างๆ

ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องฉีดพลาสติก 

  1. ฮอปเปอร์ (Hopper): กรวยขนาดใหญ่สำหรับบรรจุเม็ดพลาสติกและสารเติมแต่ง เพื่อส่งเข้าสู่เครื่องฉีดพลาสติก
  2. กระบอกฉีดและสกรู (Injector and Screw): หน่วยที่ทำหน้าที่หลอมเหลวพลาสติกและสร้างแรงดันเพื่อฉีดพลาสติกเข้าสู่แม่พิมพ์
  3. หัวฉีด (Nozzle): อุปกรณ์ที่นำพลาสติกหลอมเหลวจากกระบอกฉีดเข้าสู่ช่องว่างในแม่พิมพ์
  4. แม่พิมพ์ (Mold): โครงสร้างที่ออกแบบให้เป็นรูปร่างของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมักประกอบด้วยสองส่วนเพื่อให้สามารถถอดชิ้นงานออกได้ง่าย
  5. หน่วยหนีบยึดแม่พิมพ์ (Hydraulic Clamp Unit): กลไกที่ทำหน้าที่เปิด-ปิดแม่พิมพ์ พร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิทั้งความร้อนและความเย็น เพื่อให้แม่พิมพ์อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการขึ้นรูปพลาสติก

ประโยชน์ของการฉีดพลาสติกในอุตสาหกรรม

  • ความละเอียดสูง: สามารถผลิตชิ้นงานที่มีรายละเอียดซับซ้อนได้ดี
  • ความเร็วในการผลิต: เครื่องฉีดพลาสติกสามารถผลิตชิ้นงานจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว
  • คุณภาพคงที่: ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีความสม่ำเสมอและคงทนสูง

การฉีดพลาสติกถือเป็นกระบวนการหลักในอุตสาหกรรมพลาสติกที่มีความสำคัญ ช่วยให้สามารถผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรมและส่งเสริมความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

บรรจุภัณฑ์สลายตัว (Biodegradable Packaging)

ปัจจุบัน ปัญหาขยะพลาสติกเป็นสาเหตุหนึ่งของมลภาวะสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง การใช้ ไบโอพลาสติก (Biodegradable Plastic) หรือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ กลายเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ ไบโอพลาสติกทำจากวัสดุชีวภาพ เช่น แป้งข้าวโพด และสามารถย่อยสลายได้เมื่อสัมผัสกับสภาวะที่เหมาะสม จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ไบโอพลาสติก-Biodegradable-Plastic (1)

บรรจุภัณฑ์สลายตัว ตัวอย่างวัสดุไบโอพลาสติกที่ใช้ในบรรจุภัณฑ์

  1. Oxo-Biodegradable Plastic (Enhanced PP): พลาสติกที่เสริมการย่อยสลายด้วยสารเติมแต่ง ทำให้พลาสติกแตกตัวได้เร็วขึ้นเมื่อสัมผัสกับแสงแดดและออกซิเจน
  2. PP Copolymer + Bioplastic: ผสมระหว่างโพลีโพรพิลีนโคพอลิเมอร์กับไบโอพลาสติก ให้ความยืดหยุ่นและความแข็งแรง และสามารถย่อยสลายได้เมื่อหมดอายุการใช้งาน
  3. 100% Bioplastic: ผลิตจากไบโอพลาสติกแท้จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น แป้งข้าวโพด สามารถย่อยสลายได้โดยไม่ทิ้งสารเคมีอันตราย
  4. Recyclable PP Plastic: พลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ เป็นอีกทางเลือกในการลดขยะและนำกลับมาใช้ใหม่

ประโยชน์ของการใช้ไบโอพลาสติกในบรรจุภัณฑ์ การใช้ไบโอพลาสติกช่วยลดปัญหาขยะและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากพลาสติกสามารถย่อยสลายได้เร็วกว่าและมาจากทรัพยากรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืน และลดการใช้พลังงานในการผลิตและขนส่ง

ช้อนตักขนม ไบโอพลาสติก

อนาคตของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติก อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สามารถทดแทนพลาสติกทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทำให้ต้นทุนต่ำลง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนได้มากขึ้น

การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติกจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการบริโภคที่ยั่งยืน และส่งเสริมการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

เกี่ยวกับขวดพลาสติก

ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับขวดพลาสติก

ขวดพลาสติก ขวด สร้างขึ้นมาจาก พลาสติก ขวดพลาสติกมักจะใช้ในการจัดเก็บของเหลวเช่น น้ำน้ำอัดลมน้ำมัน น้ำมันปรุงอาหาร ยา แชมพู นม และ หมึก ขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กมากขวดตัวอย่างขนาดใหญ่

ขวดพลาสติกถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในปี 1947 แต่ยังคงค่อนข้างแพงจนถึงต้นปี 1960 เมื่อเอทิลีนความหนาแน่นสูงได้รับการแนะนำ พวกเขาได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นที่นิยมกับทั้งผู้ผลิตและลูกค้าเนื่องจากลักษณะที่มีน้ำหนักเบาของพวกเขาค่อนข้างต่ำและต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับ แก้ว ขวด . ยกเว้นไวน์และเบียร์ อุตสาหกรรมอาหาร ได้เปลี่ยนเกือบหมดแก้วกับขวดพลาสติก

ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

การผลิตขวดพลาสติก

ขวดพลาสติกที่เกิดขึ้นโดยใช้ความหลากหลายของเทคนิค ทางเลือกของวัสดุที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้

  • เอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) เป็นเม็ดพลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับขวดพลาสติก วัสดุนี้จะประหยัดทนต่อผลกระทบและอุปสรรคให้ความชุ่มชื้นดีHDPE เข้ากันได้กับหลากหลายของผลิตภัณฑ์รวมถึงกรดและ caustics แต่ไม่ได้เข้ากันได้กับ ตัวทำละลาย . มันจะได้รับการอนุมัติในองค์การอาหารและยาเกรดอาหาร HDPE โปร่งแสงเป็นธรรมชาติและมีความยืดหยุ่น นอกจากนี้สีจะทำให้กำลังการผลิต HDPE ทึบแสงแม้ว่าจะไม่มันวาว HDPE ยืมตัวเองได้อย่างง่ายดายเพื่อการตกแต่งหน้าจอไหม ในขณะที่ HDPE ให้การป้องกันที่ดีที่อุณหภูมิแช่แข็งด้านล่างมันไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปกว่า 160 ° F (71 ° C) หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้สุญญากาศ (สูญญากาศ) ประทับตรา
  • เอทิลีนความหนาแน่นต่ำ (LDPE) จะคล้ายกับการผลิต HDPE ในองค์ประกอบ มันเป็นน้อยเข้มงวดและโดยทั่วไปน้อยกว่าที่ทนทานทางเคมี HDPE แต่โปร่งแสงมากขึ้น LDPE ใช้งานเป็นหลักสำหรับการใช้งานบีบ LDPE อย่างมีนัยสำคัญมีราคาแพงกว่า HDPE
  • Polyethylene Terephthalate (PET PETE หรือ โพลีเอสเตอร์ ) มักจะถูกใช้สำหรับเครื่องดื่มอัดลมขวดน้ำและผลิตภัณฑ์อาหารจำนวนมาก PET ให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ดีมากและคุณสมบัติอุปสรรคน้ำมันหอมระเหยทนต่อสารเคมีที่ดีโดยทั่วไป (แม้ว่า acetones และคีโตนจะโจมตี PET) และระดับสูงของความทนต่อแรงกระแทกและแรงดึง กระบวนการ orienting ทำหน้าที่ในการปรับปรุงคุณสมบัติของก๊าซและอุปสรรคความชื้นและทนแรงกระแทก วัสดุนี้ไม่ได้ให้ความต้านทานต่ออุณหภูมิที่สูงมากการใช้งานสูงสุด อุณหภูมิ. 200 ° F (93 ° C)
  • วัสดุ Polyvinyl Chloride (PVC) เป็นที่ชัดเจนตามธรรมชาติมีความต้านทานที่ดีมากที่จะน้ำมันและมีการส่งผ่านออกซิเจนต่ำมาก มันมีอุปสรรคที่ดีในการปล่อยก๊าซมากที่สุดและต้านทานผลกระทบต่อการลดลงยังดีมาก สารนี้เป็นสารทนสารเคมี แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่จะตัวทำละลาย พีวีซีเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับน้ำมันสลัดน้ำมันแร่และน้ำส้มสายชู นอกจากนี้ยังเป็นที่ใช้กันทั่วไปสำหรับแชมพูและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง พีวีซีจัดแสดงนิทรรศการความต้านทานต่ำที่มีอุณหภูมิสูงและจะบิดเบือนที่ 160 ° F (71 ° C) ทำให้มันเข้ากันไม่ได้กับผลิตภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยความร้อน มันได้บรรลุความประพฤติไม่ดีในปีที่ผ่านมาเนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
  • โพรพิลีน (PP) ถูกนำมาใช้เป็นหลักสำหรับขวดและฝาปิดและมีแพคเกจที่เข้มงวดกับอุปสรรคความชื้นที่ดีเยี่ยม ข้อดีอย่างหนึ่งที่สำคัญของโพรพิลีนเป็นเสถียรภาพที่อุณหภูมิสูงได้ถึง 220 ° F (104 ° C) โพรพิลีนเป็นหม้อนึ่งฆ่าเชื้อและมีศักยภาพในการฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำ ความเข้ากันได้ของ PP มีอุณหภูมิสูงบรรจุเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับการใช้งานด้วยผลิตภัณฑ์ที่เติมร้อน PP มีความต้านทานต่อสารเคมีที่ดี แต่ให้ทนต่อแรงกระแทกไม่ดีในอุณหภูมิที่เย็น
  • สไตรีน (PS) ที่มีความคมชัดที่ยอดเยี่ยมและความมั่นคงในราคาที่ประหยัด เป็นที่นิยมใช้กับผลิตภัณฑ์แห้งรวมวิตามินเยลลี่ปิโตรเลียมและเครื่องเทศ สไตรีนไม่ได้ให้ความสามารถในการป้องกันที่ดีและการจัดแสดงนิทรรศการความต้านทานผลกระทบต่อคนยากจน
  • พลาสติกชีวภาพ – โครงสร้างโพลิเมอร์ขึ้นอยู่กับวัสดุชีวภาพการประมวลผลมากกว่า ปิโตรเคมี .

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

วัสดุขวดพลาสติก (Plastic Bottle Resin Material)

ขวดพลาสติก (Plastic Bottles) ผลิตจากวัสดุหลากหลายชนิด (เรซิน) โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ขวดพลาสติกที่ผลิตจาก HDPE เป็นวัสดุที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากมีราคาถูกและคุ้มค่า ส่วนขวดพลาสติกที่ผลิตจาก PET มีความใสเหมือนแก้ว ในขณะที่กระปุกพลาสติกที่ทำจาก PP มีความยืดหยุ่นและราคาประหยัด ส่วนกระปุกพลาสติกจาก PS มีความใสและแข็งแรง

ส่วนนี้จะอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับวัสดุเรซินที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติก คุณสมบัติ การใช้งาน และข้อจำกัดของแต่ละวัสดุ

ขวดใส่แอลกอฮอล์

ระบบรหัสวัสดุขวดพลาสติก (The Plastic Bottle Material Code System)
การรีไซเคิลได้รับการสนับสนุนมากขึ้นด้วยการใช้ระบบรหัสวัสดุขวดพลาสติก ซึ่งถูกออกแบบมาให้อ่านได้ง่ายและสามารถแยกแยะได้จากสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่อยู่บนก้นขวด โดยสัญลักษณ์นี้ต้องปรากฏบนขวดที่มีความจุ 8 ออนซ์ขึ้นไป

Plastic-Code

ประเภทของระบบรหัสพลาสติก
สัญลักษณ์ประกอบด้วยรูปสามเหลี่ยมที่เกิดจากลูกศรสามตัวไล่กันเป็นวงกลม โดยมีตัวเลขเฉพาะตรงกลางเพื่อระบุชนิดของวัสดุที่ใช้ในการผลิตขวด ตัวเลขนี้จะมีตัวอักษรที่บ่งบอกชนิดของเรซินประกอบเพื่อยืนยันประเภทของวัสดุที่แยกออกมา

  • ขวดพลาสติก – High Density Polyethylene (HDPE) HDPE เป็นวัสดุเรซินที่นิยมใช้สำหรับขวดพลาสติก มีราคาประหยัด ทนทานต่อแรงกระแทก และกันความชื้นได้ดี สามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น กรดและสารกัดกร่อน แต่ไม่เหมาะกับสารละลาย ขวดที่ทำจาก HDPE จะโปร่งแสงและยืดหยุ่น เมื่อเติมสีจะทำให้ทึบแสง แต่ไม่เงางาม เหมาะสำหรับการตกแต่งด้วยการพิมพ์สกรีน ข้อจำกัดคือ ไม่สามารถใช้กับผลิตภัณฑ์ที่ต้องเติมที่อุณหภูมิสูงกว่า 190°F หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการซีลสูญญากาศได้ และไม่เหมาะสำหรับน้ำมันหอมระเหย
  • ขวดพลาสติก – Low Density Polyethylene (LDPE) LDPE มีความยืดหยุ่นมากกว่า HDPE แต่ทนสารเคมีได้น้อยกว่าและมีราคาสูงกว่า มักใช้กับขวดที่ต้องการบีบ
  • ขวดพลาสติก – Polyethylene Terephthalate (PET) PET ใช้สำหรับขวดเครื่องดื่มอัดลม มีคุณสมบัติในการกันน้ำมันหอมระเหยและแอลกอฮอล์ได้ดี ทนทานต่อแรงกระแทก แต่ไม่ทนต่อสารเคมีบางชนิด เช่น อะซิโตน และไม่เหมาะกับการใช้งานที่อุณหภูมิสูงกว่า 160°F
  • ขวดพลาสติก – Polyvinyl Chloride (PVC) ขวดพลาสติกจาก PVC มีความใส ทนน้ำมันได้ดีและกันการส่งผ่านของออกซิเจนต่ำ เหมาะกับน้ำมันสลัด น้ำมันแร่ และน้ำส้มสายชู แต่วัสดุนี้ไม่ทนความร้อนและจะบิดเบี้ยวที่อุณหภูมิ 160°F
  • กระปุกพลาสติก – Polypropylene (PP) PP มีโครงสร้างแข็งแรง กันความชื้นได้ดี และทนความร้อนได้สูงถึง 200°F สามารถฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำได้ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องเติมที่อุณหภูมิสูง
  • กระปุกพลาสติก – Polystyrene (PS) PS มีความใสและแข็งแรงในราคาประหยัด เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์แห้ง เช่น วิตามิน วาสลีน และเครื่องเทศ แต่ไม่กันการซึมผ่านและไม่ทนต่อแรงกระแทก

Plastic polymer comparison

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ลดต้นทุนการผลิตบรรจุภัณฑ์

แนวคิดนักออกแบบงานบรรจุภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนการผลิต

กระปุกสีดำ

บรรจุภัณฑ์เป็นต้นทุนที่สำคัญรองจากวัตถุดิบในการผลิตสินค้า หากสามารถลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ได้ จะช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง แนวคิดในการลดต้นทุนของวัสดุบรรจุภัณฑ์มีหลายแนวทาง ได้แก่:

  1. ลดคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุบรรจุภัณฑ์
    เช่น ลดความหนาหรือน้ำหนักของบรรจุภัณฑ์ โดยต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการประหยัด
  2. เลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ถูกกว่า
    การเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ราคาถูกกว่า เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแทนแก้ว
  3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้วัสดุ
    การใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ให้คุ้มค่ามากขึ้น เช่น ปรับขนาดกล่องเพื่อให้ใช้วัสดุน้อยลง
  4. เปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์
    ดัดแปลงบรรจุภัณฑ์จากเดิมให้มีรูปแบบใหม่ที่ช่วยลดต้นทุน
  5. ลดส่วนประกอบที่ไม่จำเป็น
    ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนจากฝาปิดแบบชิ้นเดียวที่มีต้นทุนสูง มาใช้ฝาพลาสติกแยกชิ้น
  6. เปลี่ยนรูปทรงบรรจุภัณฑ์
    การใช้บรรจุภัณฑ์ทรงเหลี่ยมแทนทรงกลม ช่วยให้บรรจุและขนส่งได้ง่ายขึ้นและประหยัดพื้นที่
  7. เพิ่มปริมาณสินค้าต่อกล่อง
    เพิ่มจำนวนสินค้าที่บรรจุในกล่อง เช่น จากเดิมบรรจุ 12 ชิ้น เพิ่มเป็น 18 หรือ 24 ชิ้น เพื่อลดค่าขนส่ง
  8. ลดจำนวนขนาดสินค้า
    การมีขนาดสินค้าหลากหลายทำให้สิ้นเปลืองในการบรรจุ การลดขนาดสินค้าให้เหลือเพียงไม่กี่ขนาดจะช่วยลดต้นทุน
  9. ลดขนาดพื้นที่บรรจุภัณฑ์
    บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดกะทัดรัดใช้กระดาษน้อยกว่า มีต้นทุนถูกกว่า และสะดวกต่อการบรรจุ
  10. ลดจำนวนสีที่ใช้ในการพิมพ์
    การออกแบบกราฟิกอย่างง่ายที่ใช้สีเพียง 1-2 สี สามารถลดต้นทุนการพิมพ์ได้มาก โดยที่ยังคงสร้างความดึงดูดต่อผู้บริโภค

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อลดต้นทุนควรคำนึงถึงการตลาดด้วย ปัจจุบันการออกแบบบรรจุภัณฑ์ไม่เพียงแต่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำหน้ากว่า เพื่อให้สินค้าโดดเด่นในตลาด

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ตราสินค้า

ตราสินค้า (Brandname)

ตราสินค้า (Brand) หมายถึงชื่อ ข้อความ สัญลักษณ์ หรือรูปแบบต่างๆ ที่ใช้เพื่อระบุสินค้า หรือบริการของผู้ขาย โดยแสดงความแตกต่างจากคู่แข่งขัน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญของตราสินค้าได้แก่:

  • ชื่อตรา (Brandname): ชื่อที่ออกเสียงได้ เช่น วัน ทู คอล หรือ เค เอฟ ซี
  • เครื่องหมายตราสินค้า (Brandmark): สัญลักษณ์ รูปแบบ หรือสีที่จดจำได้ เช่น โลโก้ของแบรนด์
  • เครื่องหมายการค้า (Trademark): เครื่องหมายที่จดทะเบียนแล้วเพื่อป้องกันสิทธิ์ตามกฎหมาย
  • ลิขสิทธิ์ (Copyright): สิทธิตามกฎหมายในสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
  • โลโก้ (Logo): สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงถึงองค์กรหรือธุรกิจ

กระปุกบรรจุผง 1กิโลกรัม พร้อมช้อนตักผง 10g

หลักเกณฑ์การเลือกชื่อตราสินค้า

  • ตราสินค้าควรสั้น กระชับ จดจำง่าย ออกเสียงได้สะดวก
  • สามารถแปลเป็นภาษาต่างประเทศได้ง่ายและมีความหมายเหมาะสม
  • ควรสอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมาย
  • ต้องสามารถจดทะเบียนการค้าได้โดยไม่ซ้ำกับที่มีอยู่แล้ว

ขวดปั๊มดีไซน์กำหนดเอง Custom Design

ความสำคัญของตราสินค้า
ในสภาวะการแข่งขันสูง ตราสินค้ามีบทบาทสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ป้องกันการถูกเลียนแบบ และช่วยให้ผู้บริโภคสามารถจดจำและตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยตราสินค้ายังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพและความน่าเชื่อถือ

การสร้างตราสินค้าที่มีพลัง
การสร้างตราสินค้าต้องมีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในสินค้าที่มีคู่แข่งขันหลากหลายบนชั้นวางสินค้า เมื่อสร้างตราสินค้าแล้ว การออกแบบฉลากและบรรจุภัณฑ์ก็มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการตลาด

ป้ายฉลาก (Labeling)

  • ป้ายฉลากบอกชนิดของผลิตภัณฑ์และตรายี่ห้อ
  • ให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
  • ช่วยในการส่งเสริมการตลาด

ข้อพิจารณาในการออกแบบบรรจุภัณฑ์
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ต้องคำนึงถึงลักษณะผลิตภัณฑ์ การตลาด การผลิต การจัดจำหน่าย การขนส่ง การเก็บรักษา และความสะดวกในการใช้งาน นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาต้นทุน กฎหมาย และผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม

  • ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เช่น ความชื้น ไขมัน หรือความเปราะบาง
  • ต้องรู้จักชนิดและคุณสมบัติของวัสดุบรรจุภัณฑ์
  • ต้องรู้จักระบบการขนส่งเพื่อป้องกันความเสียหาย
  • ต้องพิจารณากฎระเบียบ ข้อบังคับ และมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
  • ต้องสามารถทดสอบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมก่อนการผลิต

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความรู้ในหลากหลายด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าบรรจุภัณฑ์มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องสินค้า ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสอดคล้องกับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ออกแบบบรรจุภัณฑ์

การออกแบบบรรจุภัณฑ์

การออกแบบบรรจุภัณฑ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. การออกแบบโครงสร้าง: การกำหนดรูปลักษณะ วัสดุที่ใช้ กรรมวิธีการผลิต การบรรจุ และการขนส่งสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่จุดผลิตจนถึงมือผู้บริโภค
  2. การออกแบบกราฟิก: การสร้างลักษณะภายนอกของบรรจุภัณฑ์เพื่อสื่อสารและสร้างผลทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภค โดยเน้นให้เกิดความกลมกลืนและสวยงามตามวัตถุประสงค์

ขวดฝาฟลิบแบบตอก

กระบวนการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์
กระบวนการออกแบบต้องผ่านการวางแผนและการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยการกำหนดนโยบายและเป้าหมาย การศึกษาและวิจัยเบื้องต้น พัฒนาต้นแบบ ทดลอง และปรับปรุงก่อนเข้าสู่การผลิตจริง

การออกแบบกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์
บรรจุภัณฑ์เป็นตัวแทนในการส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ควรออกแบบให้เป็นสื่อโฆษณาในตัวเองโดยสามารถดึงดูดผู้บริโภคได้ ด้วยการใช้สี รูปภาพ สัญลักษณ์ และข้อความที่สอดคล้องกัน หลักการออกแบบกราฟิกง่ายๆ คือ “SAFE”:

  • S = Simple: เข้าใจง่าย สบายตา
  • A = Aesthetic: สวยงาม ชวนมอง
  • F = Function: ใช้งานได้สะดวก
  • E = Economic: ต้นทุนคุ้มค่า

หน้าที่ของกราฟิกบนบรรจุภัณฑ์

  • สร้างทัศนคติที่ดีต่อผลิตภัณฑ์
  • ชี้แจงชนิดและประเภทของผลิตภัณฑ์
  • แสดงเอกลักษณ์และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
  • ส่งเสริมการตลาดและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ

ขวดครีม ฝาป๊อกแป๊ก

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งเสริมการตลาด
การออกแบบบรรจุภัณฑ์ช่วยส่งเสริมการขายได้หลากหลายวิธี เช่น การออกแบบที่จดจำง่าย เจาะตลาดใหม่ การใช้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการส่งเสริมการขาย การออกแบบต้องคำนึงถึงตราสินค้าและความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย

การเปลี่ยนขนาดหรือรูปทรงของบรรจุภัณฑ์
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือขนาดของบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องทำเมื่อสินค้าผ่านช่วงหนึ่งของวัฏจักรชีวิต เช่น มีนวัตกรรมใหม่หรือการเปลี่ยนวัสดุ เพื่อตอบโจทย์ตลาดและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด

การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการตลาด สร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและจัดเก็บ การออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างและกราฟิก เพื่อสร้างความสำเร็จทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

วางแผนออกแบบบรรจุภัณฑ์

ขั้นตอนการวางแผนออกแบบบรรจุภัณฑ์

การวางแผนออกแบบบรรจุภัณฑ์เริ่มต้นจากการกำหนดจุดประสงค์และข้อจำกัด เพื่อให้บรรจุภัณฑ์ที่สร้างขึ้นตรงตามความต้องการของผลิตภัณฑ์และตลาด โดยขั้นตอนการวางแผนประกอบด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้:

ขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ขั้นตอนที่ 1: การวางแผน

1.1 กำหนดกรอบเวลา (Timeline) – วางแผนระยะเวลาในการพัฒนาแต่ละขั้นตอนอย่างชัดเจน
1.2 ระบุผลลัพธ์ที่คาดหวัง – กำหนดเป้าหมายที่ต้องการในแต่ละขั้นตอน เช่น การส่งมอบต้นแบบหรือการทดสอบ
1.3 รายละเอียดเกี่ยวกับตราสินค้า (Branding) – ระบุข้อมูลสำคัญของตราสินค้าที่จะใช้
1.4 กำหนดผู้รับผิดชอบ – ระบุทีมงานหรือผู้รับผิดชอบในแต่ละขั้นตอนเพื่อความชัดเจนในการดำเนินงาน

ขั้นตอนที่ 2: การรวบรวมข้อมูล

2.1 การตลาด (Marketing Data) – รวบรวมข้อมูลตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และคู่แข่ง
2.2 ข้อมูลจากจุดขาย (Point-of-Sale Data) – ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่จุดขาย
2.3 วิเคราะห์ SWOT (Strength, Weakness, Opportunity, Threat) – ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์
2.4 พฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) – สำรวจและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
2.5 เทคโนโลยีใหม่ – ศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ในด้านวัสดุ ระบบบรรจุภัณฑ์ และเครื่องจักร

ขั้นตอนที่ 3: การออกแบบร่าง

3.1 พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ (Idea Development) – ระดมความคิดและสร้างแนวทางการออกแบบที่เกี่ยวข้อง
3.2 ร่างต้นแบบ (Conceptual Design) – สร้างร่างต้นแบบ 3-5 แบบเพื่อใช้ในการตัดสินใจ
3.3 การทำต้นแบบ (Prototype Development) – คัดเลือกต้นแบบที่เหมาะสม 2-3 แบบเพื่อนำมาทดสอบ

ขั้นตอนที่ 4: การประชุมวิเคราะห์และปรับปรุงต้นแบบ

4.1 วิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเทคนิค – ตรวจสอบว่าต้นแบบสามารถผลิตได้จริงและตรงตามข้อกำหนด
4.2 วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค – ประเมินว่าต้นแบบตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่
4.3 เลือกต้นแบบที่ดีที่สุด – คัดเลือกต้นแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาเพิ่มเติม

ขั้นตอนที่ 5: การทำแบบจริง (Final Design)

5.1 เลือกวัสดุ (Material Selection) – ตัดสินใจเลือกวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการผลิต
5.2 ออกแบบกราฟิก (Graphic Design) – สร้างแบบกราฟิกพร้อมโลโก้และสัญลักษณ์การค้า
5.3 สร้างแบบจริง (Final Mockup) – ทำแบบจริงเพื่อนำไปทดสอบและปรับปรุงก่อนผลิต

ขั้นตอนที่ 6: การบริหารการออกแบบ (Design Management)

เริ่มจากการติดต่อผู้ผลิตวัสดุบรรจุภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามแบบที่ออกแบบไว้ จัดทำเอกสารและรายละเอียดการสั่งซื้อ (Specification) เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด สุดท้ายติดตามและประเมินผลว่าบรรจุภัณฑ์สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กรได้อย่างเต็มที่

ขั้นตอนการวางแผนและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นระบบและละเอียดถี่ถ้วน ไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้า แต่ยังช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ในตลาด และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ระดับความโปร่งแสงสีขวด Plastic Color Intensity Level

ระดับความโปร่งแสงสีขวด

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

สีในการสร้างแบรนด์

ความสำคัญของสี

สีมีบทบาทสำคัญในการสร้างแบรนด์จากการกระตุ้นอารมณ์ สื่อข้อความ และ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างสี และ แบรนด์สินค้า

เอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Identity): สีเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอกลักษณ์ทางภาพของแบรนด์ ช่วยสร้างการจดจำและสร้างความแตกต่างของแบรนด์จากคู่แข่ง การใช้สีที่สอดคล้องกันในองค์ประกอบต่างๆ ของแบรนด์ เช่น โลโก้ บรรจุภัณฑ์ และสื่อการตลาด ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์

ผลกระทบทางอารมณ์ (Emotional Impact): สีมีความสามารถในการกระตุ้นอารมณ์ ตัวอย่างเช่น สีโทนร้อนอย่างสีแดงและสีส้มมักเกี่ยวข้องกับพลังงาน ความตื่นเต้น และความหลงใหล ในขณะที่สีโทนเย็นอย่างสีน้ำเงินและสีเขียวสามารถทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ไว้วางใจ และเป็นธรรมชาติ แบรนด์ต่างๆ เลือกใช้สีที่สอดคล้องกับอารมณ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมาย

บุคลิกภาพของแบรนด์ (Brand Personality): สีสามารถช่วยสร้างบุคลิกและลักษณะเฉพาะของแบรนด์ได้ ตัวอย่างเช่น สีม่วงมักจะเกี่ยวข้องกับความหรูหราและความซับซ้อน ในขณะที่สีเหลืองเกี่ยวข้องกับการมองโลกในแง่ดีและความอ่อนเยาว์ แบรนด์ต่าง ๆ เลือกสีที่สะท้อนถึงลักษณะนิสัยและค่านิยมที่พวกเขาต้องการ

ความสำคัญทางวัฒนธรรมและบริบท (Cultural and Contextual Significance): สีสามารถมีความหมายและความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและสังคม ตัวอย่างเช่น สีแดงอาจหมายถึงความโชคดีและการเฉลิมฉลองในบางวัฒนธรรม ในขณะที่อาจแสดงถึงอันตรายหรือคำเตือนในบางวัฒนธรรม

การพิจารณากลุ่มเป้าหมาย (Target Audience Considerations): สีที่ต่างกันสามารถสะท้อนความแตกต่างกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ แบรนด์ควรคำนึงถึงข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าสีที่เลือกนั้นสอดคล้องกับความชอบและสอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ผู้บริโภคมองหาอะไรในบรรจุภัณฑ์?

ผู้บริโภคมองหาอะไรในบรรจุภัณฑ์?

ผู้บริโภคมีความคาดหวังและความพึงพอใจที่หลากหลายเมื่อพูดถึงเรื่องบรรจุภัณฑ์ ต่อไปนี้เป็นปัจจัยทั่วไปที่ผู้บริโภคมักพิจารณาเมื่อประเมินบรรจุภัณฑ์:

1. ดึงดูดสายตา: ผู้บริโภคสนใจบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจและโดดเด่นบนชั้นวางสินค้า สี การออกแบบ และกราฟิกที่สะดุดตาสามารถมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค

2. การสร้างแบรนด์และข้อมูล: ผู้บริโภคมองหาบรรจุภัณฑ์ที่สื่อสารตัวตนของแบรนด์และข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การติดฉลากที่ชัดเจนและรัดกุม รวมถึงชื่อผลิตภัณฑ์ คำอธิบาย คุณสมบัติ คุณประโยชน์ ส่วนผสม และคำแนะนำในการใช้งาน สามารถช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้อย่างมีข้อมูล

3. การใช้งานและความสะดวกสบาย: ผู้บริโภคชื่นชอบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้งาน เปิด และปิดได้ง่าย บรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอำนวยความสะดวก เพิ่มประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ได้

4. การปกป้องและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์: ผู้บริโภคคาดหวังว่าบรรจุภัณฑ์จะช่วยปกป้องผลิตภัณฑ์ในระหว่างการขนส่ง การจัดเก็บ และการจัดการ มาตรการป้องกัน เช่น ซีลป้องกันการงัดแงะและวัสดุที่ทนทานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการประกันความสมบูรณ์และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

5. บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบรรจุภัณฑ์ พวกเขามองหาวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ หรือผลิตจากแหล่งที่ยั่งยืน การติดฉลากที่ชัดเจนของการรับรองหรือสัญลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อได้เช่นกัน

6. ขนาด และ ความสะดวกในการพกพา: บรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดส่วนที่เหมาะสมตามสัดส่วนต่อการใช้งาน หรือสะดวกพกพา มักเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคที่มีวิถีชีวิตที่วุ่นวายหรือความต้องการอาหารที่เฉพาะเจาะจง

7. การยศาสตร์และการใช้งานง่าย: ผู้บริโภคชื่นชมบรรจุภัณฑ์ที่ถือ เท บีบ หรือจับได้ง่าย การออกแบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ที่ลดการหก หยด และความยุ่งเหยิงสามารถปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมได้

8. อายุการเก็บรักษาและความสด: บรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุการเก็บรักษาและรักษาความสดของผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูง คุณสมบัติต่างๆ เช่น การซีลกันอากาศเข้า การกันความชื้น และการป้องกันรังสียูวีช่วยรักษาคุณภาพของสินค้าที่เน่าเสียง่าย

9. ความคุ้มค่า: ผู้บริโภคประเมินบรรจุภัณฑ์โดยพิจารณาจากมูลค่าที่ได้รับซึ่งสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ ปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาด ปริมาณ ราคา และการส่งเสริมการขายมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายและความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์

ความชอบของผู้บริโภคอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์ ตลาดเป้าหมาย และปัจจัยทางวัฒนธรรม การทำวิจัยตลาดและการทำความเข้าใจความต้องการและความปรารถนาเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจผู้บริโภค

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ฝาพลาสติกสำหรับขวด Cap Selection

ฝาเซฟตี้

การเลือกฝาพลาสติกที่เหมาะสมสำหรับขวดมีความสำคัญต่อการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ความสะดวกสบาย และเพิ่มประสบการณ์ของผู้บริโภค คู่มือฉบับย่อนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเมื่อเลือกฝาพลาสติก

1. ฝาเกลียว Screw-Cap

ฝาเกลียวอเนกประสงค์และมีให้เลือกใช้มากมายช่วยปิดขวดอย่างแน่นหนาโดยใช้เกลียวภายในที่ขันเข้ากับคอขวด มีหลายขนาดและวัสดุ เช่น PP และ HDPE ซึ่งให้คุณสมบัติการปิดผนึกที่มีประสิทธิภาพ

2. ฝาฟลิบ Flip-Top

สะดวกและใช้งานด้วยมือเดียว ฝาฟลิบ Flip-Top มีฝาบานพับที่เปิดและปิดด้วยการพลิกง่ายๆ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ cosmetics และของใช้ในครัวเรือนทั่วไป มีให้เลือกหลายขนาดและทำจากพลาสติก ส่วนมากผลิตจากพลาสติก PP

3. ปั๊ม Lotion Pump

เหมาะสำหรับของเหลว ปั๊มจ่ายให้ปริมาณที่แม่นยำและการจ่ายที่ถูกสุขลักษณะ ปั๊มปิดแบบสกรู หรือ ปั๊มแบบ snap-on วัสดุทั่วไป ได้แก่ PP และพลาสติกที่เหมาะสมอื่นๆ

4. ฝากด Press-Cap

ฝากดด้านบนมีช่องเปิดขนาดเล็กที่ปิดด้วยแผ่นพลาสติก ทำให้ควบคุมการจ่ายได้ เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โลชั่น เซรั่ม และน้ำมัน และมีขนาดและวัสดุต่างๆ เช่น PP ข้อเสียคือโอกาสรั่วสูงเวลาขนส่ง

5. ฝาเซฟตี้ Safety Cap / Child-Resistance Cap

ฝาปิดป้องกันเด็กออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึง มีกลไกพิเศษที่ต้องใช้ความเข้าใจในการเปิด ใช้กันทั่วไปสำหรับยา ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และของใช้ส่วนตัวบางชนิด ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและ วัสดุทั่วไป เช่น PP

6. ฝาฉีกขาด Tamper-Evident Caps

ฝาปิดที่ป้องกันการงัดแงะช่วยให้มั่นใจถึงความสมบูรณ์และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์โดยระบุว่าผลิตภัณฑ์ถูกดัดแปลงหรือไม่ มีแถบฉีกขาด ซีลแบบเหนี่ยวนำ หรือฝาปิดที่แตกหักได้ วัสดุทั่วไป เช่น PP

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ขวด HDPE สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ขวด-HDPE-สำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง

ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โซลูชันบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ขวดพลาสติกที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเครื่องสำอางต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ บทความนี้เน้นย้ำถึงประโยชน์ของขวดโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูง (HDPE) และความสามารถในการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางด้วยการใช้งานจริงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

1. ความทนทานและความแข็งแรง

ขวด HDPE มีความทนทานเป็นเลิศ ปกป้องผลิตภัณฑ์ระหว่างการจัดการและการขนส่ง ความแข็งแรงป้องกันการรั่วซึมหรือความเสียหาย สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและยืดอายุการเก็บรักษาของสินค้า

2. ทนต่อสารเคมี

ขวด HDPE มีความทนทานต่อสารเคมี จึงเข้ากันได้กับสูตรเครื่องสำอางต่างๆ เป็นการรักษาคุณภาพ ประสิทธิภาพ และคุณสมบัติที่ต้องการของผลิตภัณฑ์

3. ความสามารถในการรีไซเคิลและประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม

ขวด HDPE สามารถนำไปรีไซเคิลได้สูง ก่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยการลดความต้องการพลาสติกบริสุทธิ์ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด

4. น้ำหนักเบาและคุ้มค่า

ขวด HDPE มีน้ำหนักเบา ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการใช้พลังงาน ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกประหยัดต้นทุน

5. ตัวเลือกการออกแบบที่หลากหลาย

ขวด HDPE นำเสนอโอกาสในการปรับแต่ง ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งสะท้อนถึงตัวตนของพวกเขาและดึงดูดผู้บริโภค

6. ความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ขวด HDPE ปลอดสารพิษ จึงรับประกันความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคด้วยการป้องกันการชะล้างของสารเคมีอันตราย

7. ความสะดวกสบายของผู้บริโภค

ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น ฝา flip-top และปั๊ม lotion pump ขวด HDPE ช่วยให้การใช้น้ำยาผลิตภัณฑ์สะดวกและถูกสุขลักษณะ ง่ายต่อการบีบและเป็นมิตรกับการเดินทาง

ขวด HDPE ให้ความทนทาน รีไซเคิลได้ และออกแบบได้หลากหลายสำหรับบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางที่ยั่งยืน ช่วยเพิ่มความสะดวก ความปลอดภัย และความดึงดูดใจให้กับผู้บริโภค การเลือกขวด HDPE แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

ขนาดแคปซูล

ขนาดขวด บรรจุแคปซูล

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →

Packaging Ideas and Designs

1. Packaging design: Spine Vodka

Packaging Design (1)

Packaging Design: This vodka brand gets down to the bare bones of packaging

German designer Johannes Schulz created this inspirational packaging for Spine Vodka. “It was a private project I started after my graduation of an international communication design school in Hamburg, Germany,” he explains. “Spine is a high quality product just like the design, reduced and simple with a consciously ‘twist’ in his message and a memorable name fitting to the project.”

Integrated the spine with the rib cage to communicate a product with a ‘backbone’, the unique 3D design approach sets it aside from its 2D counterparts. “The transparent glass material stands for a product that don’t has to hide something,” Schulz concludes.

2. Packaging design: Helvetica Beer

Packaging-Design-(2)

Packaging Design: A school project turns a typeface into a beer

Students are renowned for like a beer or two. So we weren’t surprised to learn that this cool new packaging design was a school project, designed by Sasha Kischenko at the British Higher School of Art and Design.

Tasked with creating a package design using type only, Kischenko opted to develop a concept for beer from Switzerland’s historical Helvetic republic – so the typeface was an obvious choice.

The sophisticated design centres around a large digit informing you of the alcohol percentage, with a small Swiss Cross logo in the top right. Can colours, silver and black, correspond to lager or stout respectively. A simple but beautiful concept, we could see this product in the hands of many a student if it were ever to become a reality!

Posted in: Knowledge

Leave a Comment (0) →
Page 1 of 2 12